ระทึก!! จนท.ไล่กวดเรือคราดหอยเถื่อนคาหนังคาเขาหนีกระเจิงน้ำกระจาย

นครศรีธรรมราช – คาหนังคาเขาเจ้าหน้าที่ไล่กวดฝูงเรือประมงคราดหอยเถื่อนหนีน้ำกระจาย แต่ไม่สำเร็จหลบเข้าน้ำตื้นไปได้​ จนท.ตั้งข้อสังเกตฝูงเรือเถื่อนออกคราดหอยหลังมีคนต่างถิ่นบุกงมเขตอนุรักษ์สำรวจลู่ทาง

นี่คือภาพเหตุการณ์ช่วงก่อนเที่ยงที่ผ่านมาขณะที่เจ้าหน้าที่เรือตรวจการณ์ประมงทะเล และเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้เรือยางไล่กวดฝูงเรือคราดหอยเถื่อนอย่างน้อย 6 ลำที่บริเวณอ่าวปากพนังรอยต่ออ่าวปากนคร หมู่ที่ 6 ตำบลท่าไร่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยฝ่ายเรือประมงคราดหอยเถื่อนต่างเร่งเครื่องหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เรือตรวจการณ์เร่งเครื่องยนต์ไล่ติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อทำการจับกุม พร้อมทั้งแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่

ปรากฎว่าฝูงเรือคราดหอยทั้งหมดไม่ยอมให้จับกุมพร้อมทั้งเร่งเครื่องยนต์ซึ่งมีการดัดแปลงให้มีกำลังแรงม้าสูงขึ้นหลบหนีเข้าไปในเขตน้ำตื้นในลำคลองบ้านบางควาย โดยหนึ่งในจำนวนนั้นได้ชนสะพานได้รับความเสียหายแต่ยังหลบหนีไปได้ ส่วนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามเข้าไปได้เนื่องจากระดับน้ำที่ตื้นเกินกว่าเรือตรวจการณ์จะเข้าถึงจึงต้องถอนกำลังออกมาในพื้นที่ปลอดภัย

สำหรับพื้นที่ในย่านนี้ชาวบ้านจำนวนมากที่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำประมงหันมาทำประมงเครื่องมือถูกกฎหมายและเลิกใช้เครื่องมือทำลายล้างจำนวนมาก ได้หันมาทำการประมงแบบยั่งยืนด้วยการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ใช้ประโยชน์ร่วมกันและร่วมกันดูแลภายใต้ข้อตกลงร่วมกัน พร้อมทั้งมีการกำหนดแนวอนุรักษ์การทำประมงอย่างยั่งยืนและมีการทำแนวกระโจมบ้านปลาเพื่อดึงดูสัตว์น้ำให้เข้ามาใกล้ชายฝั่งมากขึ้นเพื่อประโยชน์ในการทำประมงพื้นบ้านที่ไม่สามารถออกจากฝั่งห่างไกลได้

สำหรับเรือที่ใช้เครื่องมือคราดหอยบริเวณชายฝั่งจัดเป็นเรือประมงและเครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ประเภทเรือทำลายล้างสร้างอย่างไรก็ตามเมื่อสองวันก่อนแกนนำกลุ่มอนุรักษ์และเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อสังเกตหลังจากพบว่ามีชาวบ้านจากต่างถิ่นจำนวนมาก จะมีการออกมาทำการประมงของกลุ่มเครื่องมือผิดกฎหมายซึ่งเป็นไปตามคาด

ขณะที่นายพรศักดิ์ ศักดิ์ธานี ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานเพื่อทราบถึงรูปพรรณเรือ เจ้าของเรือ ขณะเดียวกันได้เตรียมนำภาพทั้งหมดพร้อมทั้งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันเพื่อให้เจ้าหน้าที่สืบสวนดำเนินการกับกลุ่มผู้กระทำความผิดต่อไปแล้ว

ดูข่าวต้นฉบับ