“ กลิ่นกฤษณาและกลิ่นจันทน์ ยังหอมน้อยกว่า กลิ่นหอมของผู้มีศีล ซึ่งหอมฟุ้งขจรไกล ถึงปวงเทพไทเทวา และมนุษย์ทั้งหลาย ”
ศีล หมายถึง การรักษากายและวาจาให้เรียบร้อย ศีล แปลได้ ๓ อย่างคือ
๑. ศีล แปลว่า “ปกติ” คือ ทำกายและวาจาให้เป็นปกติ ให้เรียบร้อย ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด
๒. ศีล แปลว่า “เย็น” คือ ทำให้เป็นคนเยือกเย็น ทำให้เย็นกาย เย็นใจ ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะขาดศีล
๓. ศีล แปลว่า “เกษม” คือ ปลอดถัย ทำให้เบากายเบาใจ
ศีลมีหลายประเภท คือ
๑. ศีล ๕ หรือ ศีลกรรมบถ สำหรับคนทั่วไป
๒. ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ สำหรับอุบาสกอุบาสิกา
๓. ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร
๔. ศีล ๒๒๗ หรือ ปาริสุทธิศีล ๔ สำหรับพระภิกษุ
การรักษาศีลต้องมีเจตนาจึงจะเป็นศีลได้ ถ้าไม่มีเจตนาจะงดเว้น หรือรักษาศีลแล้ว แม้ผู้นั้นไม่ทำความชั่ว เช่น ไม่ฆ่าสัตว์หรือไม่ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็ไม่มีศีล เหมือนเด็กที่นอนแบเบาะ แม้ไม่ทำชั่วก็ไม่มีศีล เพราะไม่มีเจตนาจะงดเว้น หรือเหมือนอย่างวัวควาย แม้มันไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ก็ไม่มีศีล เพราะไม่มีเจตนาจะงดเว้น
การที่จะมีศีลได้ต้องมีวิรัติ คือ มีเจตนาที่จะงดเว้นจากโทษนั้นๆ
อานิสงส์ของศีล
ศีลมีอานิสงส์เป็นอันมาก เช่น ทำให้เป็นที่รักเป็นที่เคารพของคนทั้งหลาย อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข ไม่ก่อเวรก่อภัยต่อผู้ใด ทำให้เป็นคนสง่างาม มีผิวพรรณผ่องใส แต่กล่าวโดยสรุป อานิสงส์ของศีลมี ๓ อย่าง ดังคำพระบาลี บอกอานิสงส์ของศีลว่า
๑. สีเลน สุคตึ ยนฺติ บุคคลจะไปสุคติได้ก็เพราะศีล
๒. สีเลน โภคสมฺปทา บุคคลจะได้โภคทรัพย์ สมบัติได้ ก็เพราะศีล
๓. สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ บุคคลจะดับทุกข์ ความเดือดร้อน จนเข้าถึงสู่พระนิพพานได้ ก็เพราะศีล
เพราะฉะนั้น ทุกคนควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไว้เถิด ก็จะรับอานิสงส์ดังกล่าวแล้วในที่สุดได้
สายลุยเตรียมพร้อมก่อนไป “เดินป่า” อ่านจบรู้เรื่อง