
วันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ว่า “สํ – กรานต” ที่แปลว่า “ก้าวขึ้น ย่างขึ้น หรือเคลื่อนที่” สื่อถึงพระอาทิตย์ที่เคลื่อนย้ายสู่ราศีเมษ และตรงกับวันปีใหม่พื้นถิ่นในหลายวัฒนธรรมของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เรื่องเล่าความเป็นมาของวันสงกรานต์มีอ้างอิงจากที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องราวเหล่านั้นลงบนแผ่นศิลา ๗ แผ่น ติดประดับไว้ในศาลาของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์
จารึกตำนานการเกิดวันสงกรานต์เริ่มต้นจากความทุกข์ใจของเศรษฐีคนหนึ่งที่อายุเลยวัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังไร้ทายาท วันหนึ่งมีนักเลงสุราพูดถากถางเศรษฐีขึ้นว่า ตัวเศรษฐีนั้นแม้รวยทรัพย์แต่กลับอาภัพบุตร ทำให้เศรษฐีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจึงได้เริ่มต้นบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานยาวนานถึง ๓ ปี กระทั่งวันหนึ่งเศรษฐีและข้าทาสบริวารได้ทำการล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาด ๗ ครั้งแล้วหุงถวายให้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ตอนนั้นเองเหล่าเทพเกิดเห็นใจสงสารจึงได้ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรให้แก่เศรษฐี เทพบุตรนาม “ธรรมบาล” จึงได้รับบัญชาลงมาจุติและได้ชื่อว่า “ธรรมบาลกุมาร” ในเวลาต่อมา
ธรรมบาลกุมารเป็นเด็กหัวไว เรียนรู้ภาษานกและเรียนจบไตรเพท (คัมภีร์สูงสุดของศาสนาพรหม) ได้ด้วยวัยเพียง ๗ ขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง ซึ่งในขณะนั้น โลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหมองค์หนึ่งว่า เป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง ชื่อเสียงนี้เองทำให้ท้าวกบิลพรหมอยากทดสอบความสามารถ จึงได้เสด็จมายังโลกแล้วท้าพนัน ปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ สัญญาไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ปัญหานั้นว่า
ข้อ ๑. เช้าราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๒. เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๓. ค่ำราศีอยู่แห่งใด
ธรรมบาลขอผลัด ๗ วัน ครั้นล่วงไปได้ ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ เมื่อนึกขึ้นว่าพรุ่งนี้จะต้องตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม จึงจำใจหลบหนีออกจากปราสาทเข้าไปในป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ พรุ่งนี้จะได้อาหารแห่งใดนกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” สามีจึงบอกว่า ปัญหามีอยู่ ๓ ข้อเช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด นางนกถามว่า จะแก้อย่างไร สามีบอกว่า
ข้อ ๑. ตอนเช้าเช้าราศีอยู่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า
ข้อ ๒. ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อ ๓. ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า
ครั้นรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกเทพธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาล ศีรษะของเราถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก ถ้าจะทิ้งขึ้นบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งไว้ในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนั้นเอาพานมารับศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้ธิดาผู้ใหญ่ นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้แล้ว แห่ทำประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาลตามความเชื่อโบราณ ๖๐ นาที แล้วก็เชิญประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคันธุลีเขาไกรลาศ บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ
พระเวสสุกรรมก็นฤมิตรแล้วด้วย แก้วเจ็ดประการชื่อ ภควดีให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมุลาด ลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้งแล้วแจกกันสังเวยทุกๆ พระองค์ครั้งถึงครบกำหนด ๓๖๕ วัน โลกสมมติว่า ปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาเจ็ดองค์ จึงผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม ออกแห่ประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วกลับไปเทวโลก ซึ่งลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น เราสมมติเรียกว่า นางสงกรานต์ มีชื่อต่างๆ
นัยยะของเรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของการเคลื่อนผ่านของพระอาทิตย์ตามความหมายของคำว่า “สงกรานต์” นั่นเอง การเลือกนางสงกรานต์ของแต่ละปีจึงถูกกำหนดจากว่า วันที่ ๑๔ เมษายนตรงกับวันใดของสัปดาห์ นางสงกรานต์ประจำวันนั้นก็จะถูกเลือกให้รับหน้าที่อัญเชิญศีรษะเพื่อเคลื่อนผ่านพระอาทิตย์จากราศีมีนสู่ราศีเมษ ดังนี้
นางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ นางสงกรานต์”ทุงสะเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วปัทมราช (แก้วทับทิม) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคืออุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
นางสงกรานต์ประจำวันจันทร์ นางสงกรานต์”โคราคะเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกปีบ ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วมุกดาเป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
นางสงกรานต์ประจำวันอังคาร นางสงกรานต์”รากษสเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกบัวหลวง ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วโมรา ภักษาหารคือโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู)
นางสงกรานต์ประจำวันพุธ นางสงกรานต์”มณฑาเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกจำปา ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วไพฑูรย์ ภักษาหารคือนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
นางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดี นางสงกรานต์”กิริณีเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกมณฑา (ยี่หุบ) ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วมรกต ภักษาหารคือถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง)
นางสงกรานต์ประจำวันศุกร์ นางสงกรานต์”กิมิทาเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วบุษราคัม ภักษาหารคือกล้วยและน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
นางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ นางสงกรานต์ม”โหธรเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกสามหาว (ผักตบชวา) ทรงอาภรณ์ด้วยแก้วนิลรัตน์ ภักษาหารคือเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)
ขอบคุณข้อมูล/ภาพ
แอบอ้างกรมอุตุฯ ปล่อยข่าวปลอม หลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน แนะวิธีป้องกัน